การเติบโตของ Facebook กับสิ่งที่เราไม่ทันสังเกตุ
เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายอายุ 50 ต้นๆ ได้รับอีเมล์จาก Facebook ซึ่งที่ผ่านมาเขาได้รับคำเชิญจากเพื่อนร่วมงาน และลูกน้องของเขาให้เข้าร่วมกับสังคมเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Facebook พร้อมกันนั้น Facebook ยังได้เสนอแนะรายชื่ออื่นๆ สำหรับชายคนดังกล่าวมาให้อีก ซึ่งมีทั้งเพื่อนที่สนิท และคนรู้จักต่างๆ แล้ว Facebook รู้ได้อย่างไรว่า ชายคนดังกล่าว รู้จักใครบ้าง? เหตุการณ์นี้ ชายคนดังกล่าวคือพ่อของผมเอง ทั้งนี้ ผมได้รับคำถามมากมายจากพ่อว่า Facebook คืออะไร? ใช้งานอย่างไร? ทำไมมีแต่เพื่อนร่วมงานส่งเมล์มาชักชวนนักหนา ในกลายเดือนก่อนพ่อของผมนั้นก็ยังไม่ได้ใส่ใจที่จะใช้ Facebook แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้พ่อของผมได้สมัครใช้งานเรียบร้อยแล้วครับ
ในปัจจุบันมีผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกันแบบนี้ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ Facebook ยังคงเจริญเติบโตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในบ้านเรามีผู้ใช้งานประมาณ 6.7 ล้านคนใช้เว็บไซต์นี้ในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 242.9%เลยทีเดียว หรือถ้าในระดับโลกแล้วอาจกล่าวได้ว่า ในผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกๆ 4คน จะมีคนหนึ่งที่ใช้ Facebook อย่างจริงจัง ซึ่งถ้ารวมจำนวนผู้ใช้จำนวนมหาศาลนี้ ช่วยให้ระบบเครื่อข่ายสามารถที่จะหาข้อมูลความสัมพันธ์ที่นอกเหนือไปจากใน หน้าเว็ปไซต์ของตนได้ด้วย ทีนี้ผมจะขออธิบายให้คุณได้รู้จักกับเทคนิคที่ง่ายแต่ได้ผลดีเยี่ยม ที่ Facebook ใช้ในการหาข้อมูล รวมทั้งจะแนะนำให้คุณได้รู้ถึงวิธีการป้องกันตนเองจากการสะสมข้อมูลนั้นด้วย
เพื่อนคนไหนไม่มี Facebook กดชวนซะเดี๋ยวก็มาสมัครใช้
Facebook จะรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ใช้ที่ใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปในนั้นมาก ซึ่งด้วยข้อมูลเหล่านี้ ทำให้มันสามารถที่จะได้ข้อมูลบางอย่างของบุคคลที่ไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับ มันเข้าไปด้วย โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Friend Finder
ผู้ใช้ Facebook สามารถจะอนุญาตให้ฟังก์ชันสแกนอีเมล์แอคเคาท์ของตนเองเพื่อดึงเอาข้อมูล ชื่อ และรายชื่ออีเมล์ออกมาได้ โดยสิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ใส่รายชื่ออีเมล์ของตนพร้อมทั้ง Password หรือโหลด Contact File จากโปรแกรมอีเมล์ลงไปเท่านั้น หรือแม้แต่ Contact ของ VolP Service - Skype มันก็สามารถที่จะเข้าไปค้นหาได้ด้วยเช่นกัน Facebook จะนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับผู้ใช้ของตนที่ได้ลงทะเบียนไว้ ถ้ามีการตรงกันมันก็จะแจ้งขึ้นมาเป็นเพื่อนใหม่ ส่วนผู้ที่ยังไม่ลงทะเบียนไว้ผู้ใช้คนอื่น(เพื่อนของพ่อ)ก็สามารถที่จะให้ Facebookส่งอีเมล์ไปเชิญชวนพ่อผมได้ ซึ่งแค่คลิกเพียงครั้งเดียวมันก็จะส่งเทียบเชิญไปยังทุกๆ Contact ที่เราเลือกไว้พร้อมกันทันที
จริงๆแล้วเทคนิคการ Import Contact นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ที่บริษัท California นี้ทำต่างไปจากที่อื่นก็คือ มันไม่ได้บันทึกไว้เพียงแค่รายชื่ออีเมล์เท่านั้น แต่ยังจะบันทึกถึงการเชื่อมโยงกันระหว่าง Address ต่างๆเอาไว้ด้วย และถึงแม้ว่าจะมีแค่ส่วนหนึ่งของผู้ใช้เกือบ 575ล้านคนเท่านั้นที่โหลด Contact ของตนขึ้นมา นักฟิสิกส์อย่าง Mark Buchanan ก็เชื่อว่า Facebook นั้นรู้จักอีเมล์ถึงเกือบ 90% ของอีเมล์ที่ใช้อยู่ทั่วโลกเลยทีเดียว
ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้คือสิ่งสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์บนเครือข่าย
ถ้าไม่มีการรวบรวมข้อมูลที่ว่านี้ Facebook จะเป็นสังคมเครือข่ายที่ดีได้หรือไม่? คำตอบก็คือได้ แต่ก็เป็นไปได้อย่างจำกัด เพราะ Friend Finder เป็นหนทางที่เร็วที่สุดในการหาคนรู้จักใน Facebook ได้เจอ ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะโดยตัวของ Facebook เองนั้นมันไม่มีเนื้อหาอะไรอยู่ เป็นแค่แพลตฟอร์มไว้ให้คนใช้ติดต่อกันได้เท่านั้นเอง (ไม่เชื่อก็ สมัคร Facebook ทิ้งไว้ แล้วไม่ต้องมี Contact เพื่อนดู ปล่อยให้เป็นแบบนั้น ร้อยวันผ่านไป มันก็จะไม่มีอะไรบน Wall เราเลย) ซึ่งการจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันก็จำเป็นต้องมี Contact ดังกล่าวก่อน แล้วถึงจะติดต่อสื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนรูป วีดีโอ ลิ้งก์ หรือข้อความส่วนตัวใดๆก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทำให้ Facebook กลายเป็นทั้งศูนย์รวมข่าวสาร อัลบั้มรูป และ Bookmark Service ไปได้ในเวลาเดียวกัน นอกเหนือไปจากเพื่อนฝูงแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถที่จะคอยติดตามข่าวคราวของบริษัท ผลิตภัณฑ์ หรือหน้าเว็ปไซต์ข่าวสารได้ด้วย อย่างเช่น i3 เราก็มี www.facebook.com/i3technology
ดังนั้นถ้าใครที่ไม่อยากนั่งดูหน้าเปล่า ก็จำเป็นต้องมี Contact เท่านั้น นอกเหนือไปจาก Friend Finder แล้ว Facebook ยังมีฟังก์ชันอื่นๆอีกที่ช่วยให้การค้นหาง่ายขึ้น และในขณะเดียวกันก็ช่วยเติมข้อมูลลงไปในฐานข้อมูลของตนได้มากขึ้นด้วย หนึ่งในฟังก์ชันที่มีผู้นิยมใช้กันมากก็คือ Mobile Apps ที่ทำให้สามารถจะแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเพื่อนๆ ได้ในระหว่างทาง จากข้อมูล Facebook พบว่าทั่วโลกมีผู้ใช้ Apps เหล่านี้เกือบ 200 ล้านคน ซึ่งมีให้ใช้สำหรับทุกๆ ระบบปฏิบัติการที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น iOS, Android, Windows Phone หรือ Symbian ในการติด ตั้งครั้งแรก Apps จะทำการตรวจสอบ Contact ที่บันทึกอยู่บนโทรศัพท์มือถือทั้งหมด แล้วส่งข้อมูลชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ และรายชื่ออีเมล์ กลับไปยัง Facebook การรวบรวมข้อมูล เหล่านี้จะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกเพราะมันจะไม่ได้เฝ้าดูเพียงแค่ข่าวสารหรือ การสนทนาภายในอีกต่อไป แต่จะรวมไปถึงอีเมล์ภายนอก และ SMS ทั้งหลายด้วย ถ้าผู้ใช้ Facebook คนใดที่ใช้ฟังก์ชันนี้ ส่ง Mail หรือ SMS ออกไป Facebook ก็จะบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้ทันที และในปัจจุบันก็ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข้อมูลที่เก็บไปเหล่านั้น จะถูกนำไปใช้อะไรบ้าง
สิ่งหนึ่งที่ทั้ง Friend Finder, App และศูนย์ข่าวมีเหมือนกันก็คือ มันทำให้นึกถึงหลักการลูกบอลหิมะ (Snowball Principle) ผู้ ใช้ Facebook เชิญเพื่อนของตนมาร่วม ซึ่งเพื่อนๆ เหล่านั้นก็จะเชิญคนรู้จักของตนเข้ามาอีก หลังจากที่เริ่มก่อตั้งมันมาปีที่ 6 นี้ในแต่ละประเทศก็ยังคงมีจำนวนผู้ใช้ Facebook เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งในบางประเทศนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึงเดือนละ 5-10% เลยทีเดียว สำหรับ Facebook แล้วการเชิญชวนโดยอาศัยเพื่อนหรือคนรู้จักนี้ นับว่าเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด เพราะเราจะไว้ใจคนรู้จักที่ชวนเราใช้ Facebook มากกว่าคนแปลกหน้า
แต่ในขณะเดียวกัน Facebook ก็จะอาศัยการเชิญชวนเหล่านี้สร้างเป็นแผนที่ความสัมพันธ์ในสังคมขึ้นมา ไม่มีจุดมุ่งหมายว่าจะพัฒนาโลกและสังคมให้ดีขึ้นอย่างไร เพียงแต่ทำให้มันสามารถเปิดเผย,ติดต่อ และเชื่อมโยงกันมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอนที่ Facebook เองย่อมหาผลประโยชน์ในส่วนนี้ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่บริษัทของตนควบคู่ไปด้วยอย่างแน่นอน
ข้อมูลมหาศาลสามารถเปลี่ยนเป็นกำไรมหาศาลได้เช่นกัน
Facebook ได้จัดเก็บ User Profile กว่า 575 ล้านรายการรวมทั้งรูป วิดีโอ และข้อความอีกเป็นพันๆ ล้านเอาไว้ในศูนย์ Data Center ขนาดใหญ่ 5 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะมีเซิร์ฟเวอร์อยู่สูงสุดถึง 8,000 เครื่อง อย่างเช่นที่ London และ New York และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ได้เริ่มสร้างเซิรฟเวอร์ฟาร์มแห่งที่ 6 ขึ้นมาอีกแล้วที่ North Carolina โดยต้องใช้งบประมาณสูงถึง 450 ล้านเหรียญแล้วเงินนี้มาจากไหน?? แหล่งเงินทุนหลักของ Facebook นั้นมีอยู่สองทางคือ นายทุนภายนอก และจากการโฆษณา
ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ได้มีนักธุรกิจและบริษัทเข้าซื้อหุ้นของ Facebook ไปไม่น้อย อย่างเช่น Microsoft (240 ล้านเหรียญ) บริษัทเงินทุน DST จากรัสเซีย( 400 ล้านเหรียญ) ผู้ให้บริการอีเมล์ Mail.ru นอกจากนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Facebook ยังมีรายได้จากการโฆษณาอีกเท่าไร แต่จากข้อมูลวงในเชื่อว่าในปี 2010 น่าจะมีรายได้รวมๆ เกือบ 1,500 ล้านเหรียญ
Facebook ได้กล่าวอยู่เสมอว่า จะเปิดให้เป็นบริการฟรีสำหรับทุกคนอยู่ต่อไป แต่ทุกคนก็จะต้องยอมรับว่า บริษัทจะต้องบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดของผู้ใช้ที่ลงทะเบียนเอาไว้ รวมไปถึงข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ของผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ด้วย แต่ที่แย่ก็คือข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยเสมอไป ดังจะเห็นได้จากคดีความต่างๆ ดังนี้
- Facebook Profile กว่า 100ล้าน Account ได้ถูกบล็อกเกอร์ชาวอเมริกัน Ran Bowes ขโมยไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาจาก Name Directory ที่เปิดให้ใครก็สามารถเข้าไปได้เหมือนกับสมุดโทรศัพท์ จริงๆแล้วผู้ใช้สามารถที่จะกำหนดได้ว่าต้องการจะให้แสดงชื่อของตนลงไปใน นั้นหรือไม่ แต่การตั้งค่าดังกล่าวก็ไม่สามารถที่จะหาเจอได้ง่ายนัก
- บริษัทโฆษณา อย่างเช่น Double Click ของ Google และ Right Media ของ Yahoo จะ ได้รับข้อมูลผู้ใช้จาก Facebook จนกระทั่งพฤษภาคม 2010 เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณาของ Google/Yahoo ชื่อที่อยู่และอายุก็จะถูกส่งไปด้วยทันที (ผลพลอยได้นี้คงถูกใจ Google และ Yahoo มากๆ)
-และมีอีกมากมายซึ่งอาจจะกล่าวได้ ไม่หมด จึงขอยกตัวอย่างแค่ สองตัวอย่างนะครับ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ Facebook จงใจมองข้ามไปคือ จริงๆแล้ว บริษัทพวกนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้บันทึกข้อมูลดังกล่าวเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
กฏหมายก็ยังควบคุมไม่ได้
ตามกฏหมายคุ้มครองข้อมูลข่าวสาร การจะบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นเอาไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว ก่อน จะสามารถทำได้เฉพาะในบางกรณีจริงๆเท่านั้น เช่น เมื่อมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการซึ่งในกรณีของ Facebook นั้นไม่ถือว่าเป็นข้อยกเว้นแต่อย่างใด ดังนั้นการบันทึกข้อมูลของบุคคลที่ไม่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ จึงเป็นเรื่องผิดกฏหมายอย่างสิ้นเชิง และถ้าจะถือตามกฏหมายจริงๆ ผู้ใช้ที่ให้รายชื่ออีเมล์ของบุคคลอื่น แก่บุคคลที่สาม (Facebook) ต่อไปโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่าผิดกฏหมายด้วยเช่นกัน
แต่กฏหมายที่ค่อนข้างโบราณนั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงแบบสอบถามข้อมูลละเอียด ของ Web Service อย่าง Facebook ด้วย เมื่อมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ศาลก็จะต้องทำการพิสูจน์เป็นกรณีไปว่า ฟังก์ชันใดของ Facebook ที่สามารถใช้ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย หรืออีกทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้ในทางทฤษฎีมากกว่า นั่นคือการฟ้องร้องตัวผู้ใช้ที่ให้ข้อมูลแก่ Facebook เหล่านั้น แต่ที่ผ่านมายังไม่ปรากฏว่ามีการฟ้องร้องเช่นนี้เกิดขึ้นซักครั้ง
ทั้งหมดนี้ก็คือ ผลประโยชน์ต่างๆ ที่ถูกซ่อนไว้อย่างแยบยลของ Facebook โดยที่ผู้ใช้บางคนไม่รู้ตัวเลย ท้ายนี้ฝากบอกว่ามันมีทุกวิถีทางที่ Facebook จะดึงทุกคนเข้าสู่เครือข่ายสังคมนี้ได้ โดยที่ได้กำไรจากข้อมูลต่างๆไปด้วย ทั้งเรายินยอมในเงื่อนไข และยังไม่ได้ยินยอม เครือข่ายนี้จะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ และไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็ว เพื่อนๆ คนใดที่เราไม่คิดว่ามันจะเข้ามาใช้งาน Facebook ต้องมีซักวันนึงที่ต้องเข้ามาใช้งาน ไม่ช้าก็เร็ว แค่นั้นเอง แต่เอ๊ะ! หรือว่าหลังจากนี้จะเปลี่ยนยุค Facebook ไปเป็น Google+ รึเปล่านะ???
Paotoong_PN
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.i3.in.th/content/view/5808
ความคิดเห็น